พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมกระทรวงแรงงาน ถึงผลการประชุมใหญ่ประจำปี สมัยที่ 104 ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิสที่ผ่านมาว่า การประชุมดังกล่าวมีผู้แทนนายจ้างและลูกจ้างและรัฐบาล ซึ่งเราได้แสดงบทบาทของประเทศไทยและกระทรวงแรงงานบนเวทีขององค์การแรงงานระหว่างประเทศว่าเราพยายามที่จะยึดหลักในการปฏิบัติตามอนุสัญญาต่างๆของ ILO อย่างเต็มความสามารถ ขณะเดียวกันได้พร้อมรับอนุสัญญาหลายๆ ฉบับ ได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเล ค.ศ.2006 (MLC) เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่, อนุสัญญาฉบับที่ 111 ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพ ค.ศ.1958 , อนุสัญญาฉบับที่ 187 ว่าด้วยกรอบงานส่งเสริมความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการทำงาน ค.ศ.2006 (พ..ศ.2549) และอนุสัญญาฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคประมง ค.ศ.2007 และเตรียมพร้อมอีกหลายฉบับที่เป็นอนุสัญญาที่สำคัญ และได้เข้าพบ Mr.Guy Ryder ผู้อำนวยการใหญ่ ILO เป็นการส่วนตัวเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดประสบการณ์เรื่องการคุ้มครองสิทธิแรงงาน รวมทั้งเรื่องการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของไทย ได้สร้างความเข้าใจที่ดีต่อกันให้เห็นว่าประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการคุ้มครองสิทธิแรงงานให้เป็นมาตรฐานสากล โอกาสนี้ กาย ไรเดอร์ ได้แสดงความชื่นชมที่ไทยเราได้ดำเนินการและเราได้ตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงแรงงานกับ ILO เพื่อศึกษาเรื่องของอนุสัญญาต่างๆ ให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

           รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า ส่วนการดำเนินการตามโรดแมปรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ยึดมั่นและให้ทุกกระทรวงดำเนินงานตามโรดแมปของ คสช. ตั้งแต่เริ่มต้นมา คือ ระยะที่หนึ่ง ตั้งแต่พฤษภาคม – กันยายน 2557 ระยะที่สองตั้งแต่เริ่มมีรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมาจนถึงปีงบประมาณ 2559 ซึ่งทุกกระทรวงจะต้องมีงานสำคัญที่ต้องเดินไป ส่วนระยะยาวเป็นเรื่องที่ต้องทำหลังจากรัฐบาลนี้แล้วเพื่อส่งต่อให้รัฐบาลใหม่ต่อไป ขณะนี้ได้มอบหมายนโยบายให้ทุกกรมไปดำเนินการ เช่น เรื่องการให้คนไทยมีงานทำ การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว การแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ เช่น การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การแก้ไขปัญหา IUU และด้านการพัฒนางานต่างประเทศของกระทรวงแรงงานเนื่องจากเราเป็นประเทศผู้ส่งออกแรงงาน ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศผู้รับแรงงานด้วย ซึ่งงานด้านแรงงานเป็นงานที่สำคัญในการช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่ส่งออก นำเข้าอย่างเดียว โดยการปรับให้เจ้าหน้าที่วิเทศสัมพันธ์ของทุกกรมทำงานร่วมกัน

              สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินในระยะยาวซึ่งเป็นความมุ่งหวังในอนาคตจะมองว่า หน่วยงานใดที่อาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ต้องปรับให้เป็นมาตรฐานสากล ซึ่งต้องมีหน่วยที่จะต้องตรวจสอบซึ่งกันและกัน ทั้งหน่วยกำกับนโยบาย (Regulator) และหน่วยปฏิบัติ (Operator) ซึ่งในระยะยาวจะให้ สปช. เข้าไปช่วยคิดต่อว่าอนาคตการบริหารราชการด้านแรงงานควรจะเป็นอย่างไร

———————

กลุ่มงานเผยแพร่ประชาสัมพันธ์/

ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/

ประกิจ สุทธิสอาด – ภาพ/

1 กรกฎาคม 2558