วันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการเยียวยาแรงงานไทยที่เดินทางกลับเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบอิสราเอลที่กระทรวงแรงงานได้ของบกลางไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อนำมาเยียวยาให้แรงงานไทยอีกคนละ 50,000 บาท นอกเหนือจากเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศคนละ 15,000 บาท นั้นว่า กระทรวงแรงงานได้ทำหนังสือไปยังสำนักงบประมาณเพื่อของบกลาง ซึ่งคาดว่าในวันนี้สำนักงบประมาณจะตอบกลับมายังกระทรวงแรงงาน และในวันนี้พรุ่งนี้ (7 พ.ย.66) ผมจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้แรงงานไทยที่กลับมาจากอิสราเอลได้เงินเยียวยาเพิ่มคนละ 50,000 บาท รวมทั้งการพักหนี้ พักต้น พักดอก ในการชำระหนี้ขณะกู้ยืมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายไปทำงานในอิสราเอล เป็นวงเงินไม่เกิน 150,000 บาท ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะในเรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติในหลักการไปแล้ว
.
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้าการอพยพแรงงานไทยกลับจากอิสราเอลภายหลังจากที่กระทรวงแรงงานได้ปิดศูนย์พักพิงที่กรุงเทลอาวีฟไปแล้วนั้น จากรายงานของอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงาน ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ พบว่า พี่น้องแรงงานไทยที่ยังไม่ตัดสินใจกลับเนื่องจากความเป็นอยู่สบายดี ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะสงคราม จึงไม่ตัดสินใจกลับมา เพราะกลับมาแล้วต้องมีหนี้สินที่กู้ยืมเอาไว้ และไม่แน่ใจว่ากลับมาจะมีรายได้ดีเท่าที่อยู่ในอิสราเอลหรือไม่ แต่สำหรับพื้นที่ที่มีการสู้รบเพิ่มขึ้น เชื่อว่าแรงงานไทยจะตัดสินใจกลับประเทศแน่นอน
.
“ผมขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้แรงงานไทยที่ไปทำงานในอิสราเอลกลับมา ถ้าหากคิดว่าไม่มีความปลอดภัยในชีวิต มีความสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งสถานการณ์อาจดีขึ้นหรือเลวร้ายลงเราอยู่ที่นี้ไม่สามารถประเมินได้ แต่ท่านที่อยู่ในพื้นที่จริงท่านสามารถประเมินได้ด้วยตนเองว่า ควรจะอยู่ต่อหรือควรจะกลับประเทศไทย ซึ่งแม้ขณะนี้ได้ปิดศูนย์พักพิงไปแล้ว แต่อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงานของประเทศไทยเรายังทำงานอยู่ทุกวัน ท่านสามารถแจ้งความจำนงค์ได้ที่สถานทูตเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับด้วยสายการบินพาณิชย์” นายพิพัฒน์ กล่าวท้ายสุด