Skip to main content
สำนักบริหารทรัพยากรบุคคล สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน
บทความ … หวังว่า ท่าน รมต. จะได้อ่าน จาก http://www.prachatai3.info/journal/2011/09/36716
โดย นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์สามารถกุมชัยชนะอย่างเด็ดขาดได้ ส่วนสำคัญประการหนึ่งก็เนื่องมาจากนโยบายด้านกิจการแรงงาน ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมหาศาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายหาเสียงเรื่องค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน และค่าจ้างเริ่มต้นสำหรับผู้จบปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือน
มีข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ในส่วนของนายจ้างก็แสดงท่าทีคัดค้านว่า จะส่งผลกระทบทางลบไปต่างๆ นานา แต่ในส่วนของลูกจ้างก็ออกมาขานรับอย่างกว้างขวาง
ในส่วนของประชาชนทั่วไปก็ให้ความสนใจว่าจะเป็นจริงในทางปฏิบัติมากน้อยเพียงใด
ผมเองในฐานะที่เคยเป็นประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ไม่มีปัญหาอะไรกับนโยบายนี้ แต่อยากจะเฝ้าเกาะติดว่า ทำอย่างไรนโยบายนี้จะสัมฤทธิ์ผลอย่างจริงจัง กับข้อเสนออย่างรอบด้านในกิจการด้านแรงงานและสวัสดิการของรัฐอย่างครอบคลุม ไปให้ไกลกว่าค่าแรงขั้นต่ำกับขั้นต้น…
ก่อนอื่นก็ต้องอธิบายว่า ยังน่าเป็นห่วงท่านนายกรัฐมนตรีที่ประกาศเสียงดังฟังชัดว่านโยบาย 300 กับ 15,000 ทำได้แน่ หากท่านจะนั่งหัวโต๊ะเป็นนายกรัฐมนตรี CEO คงไม่เป็นปัญหา
แต่หากบริหารงานแบบตอนจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี คือเป็นไปตามระบบโควต้า ปล่อยๆ ให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงกำกับมีอำนาจเต็มในเรื่องนี้ ก็เกรงว่าคงจะเป็นปัญหาใหญ่
เนื่องจากตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า เจ้ากระทรวงนี้เป็นไปในลักษณะผิดฝาผิดตัวเป็นอย่างยิ่ง คือใครก็รู้ว่าแคนดิเดตนั้นเป็นอดีตปลัดกระทรวงแรงงาน และเลขาธิการพรรค แต่สุดท้ายหวยมาออกที่คุณเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ซึ่งไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรที่มีแนวโน้มว่า จะสนใจกิจการด้านนี้เลย แต่มากินตำแหน่งเพราะระบบโควต้า
เผลอๆ คุณเผดิมชัยท่านอาจไพล่ไม่ไยดีเสียด้วยซ้ำ หากว่าตัวท่านเองต้องมาว่าการกระทรวงเกรดซี เกรดดีไปโน่นเลยก็เป็นไปได้
ทั้งที่ว่าไปแล้วกิจการด้านแรงงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ถึงขั้นเมืองนอกเมืองนาทางยุโรปหลายประเทศนั้น มีพรรคแรงงานขึ้นบริหารประเทศมายาวนานบ้าง หรือสลับสับเปลี่ยนกับพรรคค่ายอนุรักษนิยมบ้าง แต่เมืองไทยกลับมาจัดเกรดเป็นกระทรวงเกรดซีไปเสียได้
ผมล่ะกลัวเหลือเกินว่าคุณเผดิมชัยท่านจะเป็นไก่…คือไก่ได้พลอย แทนที่จะเป็นโอกาสโชว์ฝีไม้ลายมือให้เป็นที่ประจักษ์
กระทรวงนี้ไม่ได้มีเมกะโปรเจ็กต์หมื่นล้านแสนล้าน แต่มีประชากรวัยแรงงานอยู่ 20 กว่าล้านคน และอย่าไปมองแคบแค่มิติว่าเป็นคนงานประเภทสาวฉันทนาตามโรงงานอุตสาหกรรม แต่กินความรวมถึงพนักงานในห้างร้านธุรกิจเอกชนในภาคพาณิชย์และบริการต่างๆ รวมไปถึงแรงงานนอกระบบ เช่น แรงงานในภาคการเกษตร แรงงานใช้สมองของบริษัทเอกชนที่เรียกว่าไวต์ คอลลาร์ ด้วย
รวมไปถึงคนไทยที่ไปขายแรงกายแรงสมองและบริการประเภทต่างๆ ในต่างประเทศ ทั้งยุโรป อเมริกา อาหรับ ไต้หวัน เกาหลี บรูไน สิงคโปร์ที่ขนเงินเข้าประเทศมหาศาล แต่ต้องปากกัดตีนถีบไปกันเอง ไปตายเอาดายบหน้า ถูกต้มถูกโกงสารพัด ที่เหยียดเย้ยกันด้วยวลี “ไปเสียนา มาเสียเมีย”
ทั้งที่หากทำเป็น ทำดีๆ จะทำเงินเข้าประเทศได้ปีละหลายแสนล้าน หรือนับล้านล้านบาท แต่รัฐบาลต้องเข้ามาเป็นเจ้าภาพสนับสนุนส่งเสริม เป็นโต้โผใหญ่เสียเอง ไม่ใช่ปล่อยให้นายหน้าค้ามนุษย์ขูดรีดกดขี่สารพัดอย่างที่เห็นๆ
ยังไม่รวมไปถึงแรงงานข้ามชาติที่ไหลทะลักเข้ามาขายแรงราคาถูกในบ้านเมืองเรา ทั้งถูกกฎหมายผิดกฎหมาย
และยังต้องมองการณ์ไปข้างหน้าเมื่อเปิดเสรีอาเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปัญหาเรื่องแรงงานก็คงบานปลายไปใหญ่โต คนไทยที่พอจะไปได้ก็คงไหลทะลักไปยังสิงคโปร์ บรูไน มาเลย์ที่ค่าจ้างสูงกว่า ทางกลับกันลาว พม่า กัมพูชา ก็คงจะไหลเข้ามาจนท่วมประเทศ ตามหลักแรงผลัก-แรงดึง
ท่านควรเตรียมการรองรับไว้เสียแต่ตอนนี้ ไม่งั้นก็คงโกลาหลกันพอสมควร
ไหนจะเงินประกันสังคมอีกมหาศาลที่มีการหักสมทบระหว่างนายจ้าง ลูกจ้างในแต่ละเดือน แต่เสียงบ่นหนาหูขึ้นเรื่อยมาว่า ได้ไม่คุ้มโดนบังคับจ่าย โดยเฉพาะสิทธิของผู้ประกันตนตามโรงพยาบาลต่างๆ ที่กลายเป็นเบี้ยล่าง ตกสภาพเป็นพลเมืองชั้นสอง ได้สิทธิและการดูแลแย่ยิ่งกว่าบัตรทอง 30บาทรักษาทุกโรคเสียอีก
จนตอนนี้มีเสียงเพรียกหาจากลูกจ้างว่า น่าจะได้เวลาเสียทีในการจัดสร้างโรงพยาบาลเฉพาะลูกจ้างผู้ประกันตน ต้องได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปมหาศาล ซึ่งผมเองในฐานะที่เป็นหมอ และเคยเป็นประธานกรรมาธิการแรงงานเห็นด้วยอย่างเต็มที่ หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะทำได้ ก็จะเป็นการทำให้กิจการด้านแรงงานและสวัสดิการสังคมอุดมสำเร็จบริบูรณ์ เหมือนที่ ศ.นิคม จันทรวิทุร ผลักดันมาให้ฝันของท่านเป็นจริงซะที
รวมไปถึงวิสัยทัศน์ที่ต้องไปให้ไกลกว่าการลดแลกแจกแถมแบบประชานิยม อย่าง 300 หรือ 15,000 บาท คือจัดรัฐสวัสดิการสังคมแบบประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ของยุโรปที่ดูแลชีวิตของพลเมืองอย่างมีคุณค่า นับจากครรภ์มารดาไปถึงเชิงตะกอน ดังที่ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เคยเสนอไว้เมื่อ 40 ปีมาแล้ว แต่ยังไม่เคยปรากฎเป็นจริงในประเทศเราเลย
แต่เอาเถอะ ก่อนจะไปไหลขนาดนั้น มาเริ่มขั้นแรกให้มันได้ก่อนนะครับ คือ 300 บาทนี่ขอให้รักษาสัตย์สัญญาที่หาเสียงไว้ว่าจะทำทั่วประเทศ เพราะระยะหลังมาก็มีเสียงทำนองว่า จะนำร่องที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเสียก่อน
อย่าลืมว่าคนภาคอีสาน ภาคเหนือเลือกท่านมามากที่สุด อย่าทอดทิ้งลืมคำมั่นสัญญาที่ผู้ออกเสียงเขาโหวตพวกท่านมา เช่นเดียวกับนโยบายปริญญาตรี 15,000 ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า จะนำไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างเงินเดือนทั้งระบบอย่างไร
ไม่ใช่บรรจุใหม่ 15,000 คนบรรจุมาก่อนเริ่ม 7,000-8,000 ไม่ขยับให้ หรือทำงานมา 5-10 ปีกินเงินเดือน 12,000 คนใหม่เข้ามากินเงินเดือน 15,000 แบบนี้ก็โกลาหลกันทั้งประเทศ
ต้องคิดในเชิงองค์รวมและละเอียดทุกเม็ดด้วยครับ
กิจการด้านแรงงานก็อย่างที่ผมบอกไปครับเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารเกี่ยวพันกับ คนทั้งประเทศ และหากได้คนที่มีวิสัยทัศน์ และคิดการใหญ่ก็ไปรุ่ง บ้านเมืองและพลเมืองก็พลอยหน้าใส
แต่หากเสนาบดีคิดแค่ว่าเป็นกระทรวงเกรดซี ไม่มีงบหมื่นล้านแสนล้านให้น้ำลายสอ ไม่มีหน่วยงานทรัพยากรจะเกณฑ์ลงไปหาเสียงในพื้นที่ตัวเองได้
หรือได้หัวหน้ารัฐบาลที่คิดแต่จะลดแลกแจกแถมประชานิยม ก็คงพายเรือกันในอ่างกันต่อไป
หรือแย่กว่านั้นคือถอยหลังเข้าคลอง
pll_you_are_here
- เมนูหลัก
- FAQ
- บทความ … หวังว่า ท่าน รมต. จะได้อ่าน จาก http://www.prachatai3.info/journal/2011/09/36716
โดย นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์สามารถกุมชัยชนะอย่างเด็ดขาดได้ ส่วนสำคัญประการหนึ่งก็เนื่องมาจากนโยบายด้านกิจการแรงงาน ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมหาศาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายหาเสียงเรื่องค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน และค่าจ้างเริ่มต้นสำหรับผู้จบปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือน
มีข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ในส่วนของนายจ้างก็แสดงท่าทีคัดค้านว่า จะส่งผลกระทบทางลบไปต่างๆ นานา แต่ในส่วนของลูกจ้างก็ออกมาขานรับอย่างกว้างขวาง
ในส่วนของประชาชนทั่วไปก็ให้ความสนใจว่าจะเป็นจริงในทางปฏิบัติมากน้อยเพียงใด
ผมเองในฐานะที่เคยเป็นประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ไม่มีปัญหาอะไรกับนโยบายนี้ แต่อยากจะเฝ้าเกาะติดว่า ทำอย่างไรนโยบายนี้จะสัมฤทธิ์ผลอย่างจริงจัง กับข้อเสนออย่างรอบด้านในกิจการด้านแรงงานและสวัสดิการของรัฐอย่างครอบคลุม ไปให้ไกลกว่าค่าแรงขั้นต่ำกับขั้นต้น…
ก่อนอื่นก็ต้องอธิบายว่า ยังน่าเป็นห่วงท่านนายกรัฐมนตรีที่ประกาศเสียงดังฟังชัดว่านโยบาย 300 กับ 15,000 ทำได้แน่ หากท่านจะนั่งหัวโต๊ะเป็นนายกรัฐมนตรี CEO คงไม่เป็นปัญหา
แต่หากบริหารงานแบบตอนจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี คือเป็นไปตามระบบโควต้า ปล่อยๆ ให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงกำกับมีอำนาจเต็มในเรื่องนี้ ก็เกรงว่าคงจะเป็นปัญหาใหญ่
เนื่องจากตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า เจ้ากระทรวงนี้เป็นไปในลักษณะผิดฝาผิดตัวเป็นอย่างยิ่ง คือใครก็รู้ว่าแคนดิเดตนั้นเป็นอดีตปลัดกระทรวงแรงงาน และเลขาธิการพรรค แต่สุดท้ายหวยมาออกที่คุณเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ซึ่งไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรที่มีแนวโน้มว่า จะสนใจกิจการด้านนี้เลย แต่มากินตำแหน่งเพราะระบบโควต้า
เผลอๆ คุณเผดิมชัยท่านอาจไพล่ไม่ไยดีเสียด้วยซ้ำ หากว่าตัวท่านเองต้องมาว่าการกระทรวงเกรดซี เกรดดีไปโน่นเลยก็เป็นไปได้
ทั้งที่ว่าไปแล้วกิจการด้านแรงงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ถึงขั้นเมืองนอกเมืองนาทางยุโรปหลายประเทศนั้น มีพรรคแรงงานขึ้นบริหารประเทศมายาวนานบ้าง หรือสลับสับเปลี่ยนกับพรรคค่ายอนุรักษนิยมบ้าง แต่เมืองไทยกลับมาจัดเกรดเป็นกระทรวงเกรดซีไปเสียได้
ผมล่ะกลัวเหลือเกินว่าคุณเผดิมชัยท่านจะเป็นไก่…คือไก่ได้พลอย แทนที่จะเป็นโอกาสโชว์ฝีไม้ลายมือให้เป็นที่ประจักษ์
กระทรวงนี้ไม่ได้มีเมกะโปรเจ็กต์หมื่นล้านแสนล้าน แต่มีประชากรวัยแรงงานอยู่ 20 กว่าล้านคน และอย่าไปมองแคบแค่มิติว่าเป็นคนงานประเภทสาวฉันทนาตามโรงงานอุตสาหกรรม แต่กินความรวมถึงพนักงานในห้างร้านธุรกิจเอกชนในภาคพาณิชย์และบริการต่างๆ รวมไปถึงแรงงานนอกระบบ เช่น แรงงานในภาคการเกษตร แรงงานใช้สมองของบริษัทเอกชนที่เรียกว่าไวต์ คอลลาร์ ด้วย
รวมไปถึงคนไทยที่ไปขายแรงกายแรงสมองและบริการประเภทต่างๆ ในต่างประเทศ ทั้งยุโรป อเมริกา อาหรับ ไต้หวัน เกาหลี บรูไน สิงคโปร์ที่ขนเงินเข้าประเทศมหาศาล แต่ต้องปากกัดตีนถีบไปกันเอง ไปตายเอาดายบหน้า ถูกต้มถูกโกงสารพัด ที่เหยียดเย้ยกันด้วยวลี “ไปเสียนา มาเสียเมีย”
ทั้งที่หากทำเป็น ทำดีๆ จะทำเงินเข้าประเทศได้ปีละหลายแสนล้าน หรือนับล้านล้านบาท แต่รัฐบาลต้องเข้ามาเป็นเจ้าภาพสนับสนุนส่งเสริม เป็นโต้โผใหญ่เสียเอง ไม่ใช่ปล่อยให้นายหน้าค้ามนุษย์ขูดรีดกดขี่สารพัดอย่างที่เห็นๆ
ยังไม่รวมไปถึงแรงงานข้ามชาติที่ไหลทะลักเข้ามาขายแรงราคาถูกในบ้านเมืองเรา ทั้งถูกกฎหมายผิดกฎหมาย
และยังต้องมองการณ์ไปข้างหน้าเมื่อเปิดเสรีอาเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปัญหาเรื่องแรงงานก็คงบานปลายไปใหญ่โต คนไทยที่พอจะไปได้ก็คงไหลทะลักไปยังสิงคโปร์ บรูไน มาเลย์ที่ค่าจ้างสูงกว่า ทางกลับกันลาว พม่า กัมพูชา ก็คงจะไหลเข้ามาจนท่วมประเทศ ตามหลักแรงผลัก-แรงดึง
ท่านควรเตรียมการรองรับไว้เสียแต่ตอนนี้ ไม่งั้นก็คงโกลาหลกันพอสมควร
ไหนจะเงินประกันสังคมอีกมหาศาลที่มีการหักสมทบระหว่างนายจ้าง ลูกจ้างในแต่ละเดือน แต่เสียงบ่นหนาหูขึ้นเรื่อยมาว่า ได้ไม่คุ้มโดนบังคับจ่าย โดยเฉพาะสิทธิของผู้ประกันตนตามโรงพยาบาลต่างๆ ที่กลายเป็นเบี้ยล่าง ตกสภาพเป็นพลเมืองชั้นสอง ได้สิทธิและการดูแลแย่ยิ่งกว่าบัตรทอง 30บาทรักษาทุกโรคเสียอีก
จนตอนนี้มีเสียงเพรียกหาจากลูกจ้างว่า น่าจะได้เวลาเสียทีในการจัดสร้างโรงพยาบาลเฉพาะลูกจ้างผู้ประกันตน ต้องได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปมหาศาล ซึ่งผมเองในฐานะที่เป็นหมอ และเคยเป็นประธานกรรมาธิการแรงงานเห็นด้วยอย่างเต็มที่ หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะทำได้ ก็จะเป็นการทำให้กิจการด้านแรงงานและสวัสดิการสังคมอุดมสำเร็จบริบูรณ์ เหมือนที่ ศ.นิคม จันทรวิทุร ผลักดันมาให้ฝันของท่านเป็นจริงซะที
รวมไปถึงวิสัยทัศน์ที่ต้องไปให้ไกลกว่าการลดแลกแจกแถมแบบประชานิยม อย่าง 300 หรือ 15,000 บาท คือจัดรัฐสวัสดิการสังคมแบบประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ของยุโรปที่ดูแลชีวิตของพลเมืองอย่างมีคุณค่า นับจากครรภ์มารดาไปถึงเชิงตะกอน ดังที่ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เคยเสนอไว้เมื่อ 40 ปีมาแล้ว แต่ยังไม่เคยปรากฎเป็นจริงในประเทศเราเลย
แต่เอาเถอะ ก่อนจะไปไหลขนาดนั้น มาเริ่มขั้นแรกให้มันได้ก่อนนะครับ คือ 300 บาทนี่ขอให้รักษาสัตย์สัญญาที่หาเสียงไว้ว่าจะทำทั่วประเทศ เพราะระยะหลังมาก็มีเสียงทำนองว่า จะนำร่องที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเสียก่อน
อย่าลืมว่าคนภาคอีสาน ภาคเหนือเลือกท่านมามากที่สุด อย่าทอดทิ้งลืมคำมั่นสัญญาที่ผู้ออกเสียงเขาโหวตพวกท่านมา เช่นเดียวกับนโยบายปริญญาตรี 15,000 ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า จะนำไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างเงินเดือนทั้งระบบอย่างไร
ไม่ใช่บรรจุใหม่ 15,000 คนบรรจุมาก่อนเริ่ม 7,000-8,000 ไม่ขยับให้ หรือทำงานมา 5-10 ปีกินเงินเดือน 12,000 คนใหม่เข้ามากินเงินเดือน 15,000 แบบนี้ก็โกลาหลกันทั้งประเทศ
ต้องคิดในเชิงองค์รวมและละเอียดทุกเม็ดด้วยครับ
กิจการด้านแรงงานก็อย่างที่ผมบอกไปครับเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารเกี่ยวพันกับ คนทั้งประเทศ และหากได้คนที่มีวิสัยทัศน์ และคิดการใหญ่ก็ไปรุ่ง บ้านเมืองและพลเมืองก็พลอยหน้าใส
แต่หากเสนาบดีคิดแค่ว่าเป็นกระทรวงเกรดซี ไม่มีงบหมื่นล้านแสนล้านให้น้ำลายสอ ไม่มีหน่วยงานทรัพยากรจะเกณฑ์ลงไปหาเสียงในพื้นที่ตัวเองได้
หรือได้หัวหน้ารัฐบาลที่คิดแต่จะลดแลกแจกแถมประชานิยม ก็คงพายเรือกันในอ่างกันต่อไป
หรือแย่กว่านั้นคือถอยหลังเข้าคลอง